หน้าฝน ฝนตกทุกวัน แล้วตกครั้งละนานๆ ทำให้เกิดน้ำรอระบายสูง (น้ำท่วม) ไปทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งนอกจากจะทำให้รถติดแบบดูหนังจบเป็นเรื่องๆ ได้แล้ว หลายคนอาจจะเจอปัญหาน้ำเข้ารถ น้ำท่วมรถยนต์ หรือบางคนสาหัสกว่านั้น คือ น้ำท่วมถึงห้องเครื่องเต็มๆ จนต้องเข็นเข้าข้างทาง ซึ่งช่วงนี้จะพบเห็นได้บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแยกหลักของกรุงเทพฯ และเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว ต้องรับมืออย่างไรวันนี้เรามีวิธีมาแนะนำค่ะ
สาเหตุที่ น้ำท่วมรถยนต์ ทำไมน้ำถึงเข้ารถได้ ?
มาเริ่มจากสาเหตุที่ทำให้น้ำเข้ารถได้กันก่อนเลย โดยแบ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ได้ดังนี้
- ยางขอบประตูปิดไม่สนิท อาการคล้ายแบบแรก คือ เมื่อเราขับผ่านน้ำท่วมแล้ว รถเราจะกลายสภาพเป็นตู้ปลาเล็กๆ มีน้ำซึมเข้ามาตรงที่วางเท้า ส่วนการตรวจสอบว่ายางขอบประตูเสื่อมสมรรถภาพหรือยังนั้น นอกจากการสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของเนื้อยางด้วยตาเปล่าแล้ว เวลาขับรถเราจะมีเสียงลมจากภายนอกรถดังเข้ามาด้วย เมื่อเราปิดประตูรถให้ลองหากระดาษหรือซองจดหมายมาสอดที่ขอบประตูดูว่าเลื่อนกระดาษไปมาได้หรือไม่ ถ้าเลื่อนไปมาได้อย่างอิสระ ก็ไปเปลี่ยนขอบยางได้เลย
- พลาสติกซุ้มล้อแตกรั่ว เมื่อเราขับผ่านน้ำที่รอระบายสูง หรือน้ำท่วม น้ำก็จะหลั่งไหลมาหาที่วางเท้าในรถเราเช่นเดียวกัน แต่จะไหลทะลักเลยครับไม่ใช่แค่ซึมๆ ส่วนการแก้ไขเรื่องนี้ นอกจากการซ่อมแบบ DIY ลองหาตัวอย่างจากกระทู้นี้ หรือไม่งั้นต้องไปศูนย์บริการ อาจจะใช้เวลานาน เพราะต้องหารอยแตกให้เจอ อุดรอยแตกที่ว่า แล้วค่อยกำจัดน้ำที่ขังอยู่ในรถกันอีกครั้ง
- จุกยางระบายน้ำที่อยู่ที่พื้นรถหลุดหายไป ซึ่งเจ้าจุกยางที่ว่านี้ มีอยู่ในรถทุกยี่ห้อ ขึ้นอยู่ว่าเป็นยาง หรือเป็นพลาสติดที่ซิลไว้ ก็เพื่อเวลาที่เราจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำท่วมสูงๆ รถเราจะได้ไม่ลอยน้ำ เพราะรถเก๋งนั้นพื้นรถจะเตี้ยเมื่อมีน้ำท่วมเข้ามา จำเป็นต้องให้ล้อแตะพื้นถนนไว้ เราจะได้สามารถควบทิศทางของรถได้ โดยเจ้าจุกยางที่ว่านี้ สามารถหลุดหายไปได้จากการขับขี่ และเมื่อมันหายไป ก็เป็นทางให้น้ำไหลเข้ามาได้นั่นเอง
- ท่อน้ำทิ้งแอร์รั่ว แบบสุดท้ายไม่ต้องไปลุยน้ำรอระบายสูงหรือน้ำท่วมมา ก็สามารถมีน้ำขังอยู่ในรถยนต์ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากท่อน้ำทิ้งแอร์หลุดอยู่ ถ้าเราสังเกตไม่เห็น โดยเฉพาะพรมปูพื้นแบบกระดุม กลิ่นอับในรถจะเป็นตัวบอกเราได้เช่นเดียวกัน และมักจะมีน้ำซึมๆ ที่พื้นเบาะด้านหน้ามาแสดงตัวให้เราเห็นด้วย
น้ำเข้ารถและความคุ้มครองของประกันรถยนต์
ส่วนความคุ้มครองของประกันรถยนต์นั้น ขออธิบายว่า ถ้าเราขับรถไปยังที่ที่เรารู้ว่าน้ำท่วมอยู่แล้วนั้นจะถือว่าเป็นการใช้รถโดยประมาท คือก็รู้อยู่แล้วว่าน้ำกำลังท่วมแล้วยังดันทุรังขับไปอีก ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง
ซึ่งมันต่างจากการขับรถไปตามทางดีๆ เกิดรถติด แล้วน้ำก็รอระบายจนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไหลทะลักเข้ามาในรถเรา ที่เคลื่อนที่ได้ไปในที่สุด แบบนี้ติดต่อบริษัทประกันโดยด่วนทั้งประกันชั้น 1 และประกันชั้น 2+ ซึ่งความเสียหายที่เรามักจะเจอกัน คือ
- ความเสียหายภายในรถ
ก็คือการซักพรม ซักเบาะในรถเรานั่นเอง ให้ถ่ายรูปความเสียหายก่อนไป Car Care แล้วเก็บใบเสร็จมาให้ครบถ้วนเพื่อเบิกจากบริษัทประกัน - ความเสียหายของระบบไฟฟ้าในรถ
ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ระบบควบคุมในรถจะเป็นไฟฟ้าซะมาก เราจะเห็นสัญญาณไฟเตือนขึ้นที่แผงควบคุมเลย (มักจะเป็นรูปแบตเตอรี่) อ่านเพิ่มเรื่องแผงควบคุมหน้ารถ ซึ่งระบบไฟที่ว่านี้จะควบคุมโดยกล่องควบคุมระบบไฟฟ้า เราก็แจ้ง
เคลมกับบริษัทประกันได้เลย - อีกเรื่องที่อยากจะฝากไว้สำหรับการขับรถหน้าฝน ขับขี่ให้ปลอดภัยได้ด้วยการลดความเร็วลงจากอัตราปกติ ครับ เพราะถ้าเราขับมาเร็วแล้วรถลื่นๆ ระยะเบรกก็ต้องมีมากขึ้นเพื่อให้เบรกอยู่ หรือในถนนบางเส้นมีแอ่งน้ำขัง ถ้าเราขับมาเร็วแล้วแตะเบรกกระทันหันเกิดรถเหินน้ำได้ ลอยข้ามเลนส์แบบควบคุมไม่ได้
- ขับขี่แบบมีสติ ความเร็วเหมาะสมที่เราควบคุมได้ดีที่สุด หรือหากสะอาดเหมือนใหม่ต้องการดูแลรถให้ท้าฝน
สรุปให้นำพรมปูพื้นออกมาตากแดดให้แห้ง จอดรถตากแดดจัดๆ 1-2 วัน โดยที่เปิดประตูและหน้าต่างรถค้างไว้ เพื่อป้องกันเชื้อราและกลิ่นเหม็นอับในรถ หรืออยากดูแลรถสีขาว
- ถ้ารถยังไม่แห้งสนิทหรือยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ ให้ไปร้านดูแลรถยนต์ (Car Care) เพื่อล้างพรม ล้างเบาะนั่งและอบให้แห้ง
- รถน้ำเข้าหรือน้ำซึมที่พื้นรถเกิดได้จาก จุกยางระบายน้ำที่พื้นรถหลุด, ยางขอบประตูปิดไม่สนิท, พลาสติกซุ้มล้อแตกรั่วหรือท่อน้ำทิ้งแอร์รั่ว ทำให้เกิดน้ำซึมจากนอกรถเข้ามาในตัวรถได้
- สาเหตุที่ต้องมีจุกยางระบายน้ำใต้รถเก๋ง เพื่อเวลาน้ำท่วมสูงรถจะได้ไม่ลอยไปตามน้ำทำให้เรายังสามารถควบคุมรถได้เพราะล้อที่ยังติดอยู่ที่พื้น
- น้ำเข้ารถประกันชั้น 1 และ 2+ คุ้มครอง
ฝนตกจนน้ำเข้ารถ รถพัง รถยนต์น้ำท่วม สามารถเคลมประกันได้ไหม ?
น้ำเข้ารถแบบไหนที่ประกันจะรับเคลม
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า สาเหตุที่ทำให้รถเสียหายจากน้ำท่วมมีหลายรูปแบบ ซึ่งทางประกันภัยรถยนต์จะให้ความคุ้มครองที่ต่างกัน โดยแบ่งกรณีที่รถเสียหายจากน้ำท่วมได้ดังนี้
เกิดน้ำท่วมจากภัยพิบัติธรรมชาติ
จอดรถเอาไว้ในบ้าน แล้วในช่วงหน้าฝนมีพายุฝนถล่มติดต่อกันนานหลายวัน ทำให้เกิดน้ำหลาก ย้ายรถหนีไม่ทัน รถถูกน้ำเข้าเสียหายบางส่วน
กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์ > รับเคลม แต่ในกรณีที่รถถูกน้ำเข้าจนเสียหายโดยสิ้นเชิงและทางบริษัทประกันประเมินว่าไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาในสภาพเดิม จะจ่ายเงิน 70-80% ของทุนประกัน
ขับรถไปลุยน้ำท่วมขังบนถนน
กำลังขับรถอยู่บนท้องถนนแล้วเห็นว่ามีน้ำท่วมขังแต่ยังตัดสินใจขับรถลุยน้ำ จนน้ำเข้าห้องเครื่อง ทำระบบไฟฟ้าเสียหาย เครื่องยนต์ดับ หรือระดับน้ำสูงจนเข้ามาในห้องโดยสารจนเบาะรถ หรือวัสดุอื่นๆ เกิดความเสียหาย
กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์ > ไม่รับเคลม หรือประกันภัยรถยนต์ประเภทที่ 1 ช่วยค่าเสียหายบางส่วน (แล้วแต่กรณี)
รถติดบนถนนขณะที่ฝนตกหนักจนน้ำท่วม
ขับรถออกไปข้างนอก แล้วเกิดรถติดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งเป็นเวลานาน จากนั้นมีฝนตกหนักแล้วอยู่ๆ เกิดน้ำท่วมสูงจนทำให้รถได้รับความเสียหาย
กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์ > รับเคลม
รถเสียหายจากน้ำเข้ารถ น้ำท่วมรถยนต์ เคลมประกันแบบไหนได้บ้าง ?
การขอเคลมค่าซ่อมแซม รถยนต์น้ำท่วม จะขึ้นอยู่กับลักษณะของความเสียหาย โดยทางบริษัทประกันจะพิจารณาจากลักษณะของการถูกน้ำเข้า ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบเองได้จากกรมธรรม์ก่อนว่าคุ้มครองในกรณีไหนบ้าง
โดยประเภทประกันภัยที่จะคุ้มครองการถูกน้ำท่วม ได้แก่
- ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
- ประเภทประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ (ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์)
- เเละประกันภัยรถยนต์ประเภท 3+ (ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์)
การเตรียมตัวเคลมประกันเมื่อน้ำเข้ารถ
เมื่อตรวจสอบแล้วว่ารถของคุณสามารถเคลมประกันได้จากกรณีน้ำท่วม ให้ทำการเตรียมตัวขอเคลมได้ดังนี้
- เอกสารเกี่ยวกับตัวรถและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ให้พร้อม ซึ่งควรมีฉบับสำรองเตรียมเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
- เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของรถ เช่น ใบขับขี่ สำเนาบัตรประชาชน
- หลักฐานในขณะเกิดเหตุ เช่น ภาพถ่ายขณะเกิดน้ำท่วม จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ประกันสามารถประเมินความเสียหายได้
ช่องทางและขั้นตอนเคลมประกันภัยรถยนต์
เมื่อรถของคุณได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำเข้า และได้ตรวจสอบตามกรมธรรม์แล้วว่าอยู่ในความคุ้มครองของบริษัทประกันภัย ก็สามารถทำเรื่องเคลมได้โดย
- ติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรงตลอด 24 ชั่วโมง
- เจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันจะเข้ามาตรวจสอบ และบันทึกความเสียหาย
- เลือกอู่ หรือศูนย์ซ่อมรถเพื่อประเมินราคา
- รอการอนุมัติซ่อม
- เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติ ก็สามารถนำรถไปส่งที่อู่หรือศูนย์ได้เลย
รถเหม็นอับเชื้อราเพราะอะไร
หนึ่งในปัญหากวนใจในช่วงหน้าฝนคือเรื่องรถอับชื้นและมีขึ้นรา ซึ่งมีสาเหตุได้จากหลายอย่าง เช่น เผลอลืมเปิดกระจกรถทิ้งไว้ขณะฝนตก ขับรถลุยน้ำบ่อยๆ สวมรองเท้าเปียกขึ้นรถเป็นประจำ เสื้อผ้าชื้นแฉะ เบาะผ้าเปียกชื้น ระบบแอร์หมักหมมเพราะความชื้น ท่อน้ำแอร์รั่วซึมใต้คอนโซล ทำน้ำหกในรถ ฯลฯ
รถมีราขึ้นดูยังไง
- ดมกลิ่น – เชื้อรามักส่งกลิ่นอับชื้น หากเปิดแอร์แล้วมีกลิ่นชื้นๆ โชยออกมาจากระบบปรับอากาศก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าอาจมีราขึ้นในรถ
- สังเกตด้วยตาเปล่า – โคโลนีของราพบได้หลายสี มีลักษณะเป็นจุดด่างดวงสีดำ ขาว เขียว แดง เหลือง น้ำตาล พบได้ตามจุดอับที่ถูกแสงน้อย หรือบริเวณที่บุผ้าหรือหนังแท้ซึ่งมักโดนความชื้น เช่น เพดานรถ พรมปูพื้น เบาะผ้า พวงมาลัยรถ ด้ามจับเบรคมือ ประตูข้าง เบาะหลัง ฯลฯ
รถเหม็นอับ มีราขึ้น อันตรายไหม
ความร้ายของเชื้อราไม่ได้มีเพียงรอยกระดำกระด่างที่ทำให้รถแสนรักดูสกปรกเท่านั้น แต่ “สปอร์” ของเชื้อรายังเข้าสู่ร่างกายได้และทำให้เกิดอาการดังนี้
- ปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ – คัดจมูก เลือดกำเดาไหล ไอจาม ภูมิแพ้ หายใจไม่ออก หอบหืด ปอดอักเสบ
- ปัญหาต่อดวงตา – น้ำตาไหล ตาแดง
- ปัญหาต่อผิวหนัง – ผื่น ลมพิษ
- ระบบประสาท – ปวดศีรษะ อารมณ์ขุ่นมัว
ป้องกันกลิ่นอับและเชื้อราในรถได้อย่างไร
- ก่อนจอดรถ ดูให้แน่ใจว่าปิดประตูหน้าต่างสนิทแล้วทุกครั้ง
- ตรวจดูซีลยางรอบประตูและหน้าต่างว่าแน่นสนิทไร้รอยรั่ว
- ติดคิ้วกันสาดกระจก เพื่อลดปริมาณน้ำฝนกระเซ็นเข้าในรถหากจำเป็นต้องลดกระจกขณะฝนตก
- วันแดดจัด นำรถไปจอดตากแดด ปรับกระจกรถลงและเปิดประตูเพื่อระบายความอับชื้นฃ
- ก่อนถึงบ้านสัก 5-10 นาที ปิด A/C เปิดกระจก แล้วเร่งพัดลมแอร์ให้สุด เพื่อไล่ความชื้นในแผงคอยล์เย็นก่อนดับเครื่อง
- หากห้องโดยสารรถเปียก ใช้ผ้าแห้งเช็ดเบาะ พรม และจุดต่างๆ ที่เปียกทันที หรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ซับความชื้น เพื่อช่วยหยุดการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย
- นำพรมที่เปียกออกมาผึ่งแดด หรือใช้ไดร์เป่าผมเป่าจุดที่แห้งยาก
- เช็ดช่องแอร์ด้วยไม้พันก้านสำลีชุบน้ำยาเช็ดกระจกหรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู
- วางวัตถุช่วยดูดความชื้นที่หาได้ใกล้ตัว เช่น ถ่านไม้ ใบชา เบกกิ้งโซดา ซองดูดความชื้นบรรจุซิลิกาเจล
- ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำเปล่าใส่ขวดสเปรย์ แล้วนำมาฉีดพ่นตามจุดต่างๆ ในรถเพื่อลดกลิ่นอับและกันราขึ้น
หากราขึ้นแล้ว กำจัดเชื้อราอย่างไรดี
- ก่อนลงมือกำจัดเชื้อราด้วยตนเอง ให้สวมหน้ากาก N-95 ถุงมือยาง แว่นกันกระเด็น และหมวกคลุมผม เพื่อเลี่ยงการสัมผัสเชื้อราโดยตรง
- นำรถไปจอดในที่อากาศถ่ายเทสะดวก แล้วฉีดน้ำส้มสายชูตรงจุดที่มีปัญหา ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเชื้อราออก
- พรมยางหรือพื้นผิวแข็งที่มีราขึ้น ใช้น้ำอุ่นผสมผงซักฟอก (แบบไม่ผสมแอมโมเนีย) และขัดด้วยแปรงอ่อน แล้วเป่าหรือผึ่งให้แห้ง
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในรถ โดยเลือกแบบที่มีเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยกำจัดฝุ่นละออง PM 2.5 ดูดซับก๊าซอันตราย ไอควันจากรถยนต์ แต่ยังฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้ด้วย
- หากราขึ้นที่พรมหรือเบาะเป็นจำนวนมาก ควรใช้บริการซักเบาะหรือพรมโดยศูนย์บริการมืออาชีพ
- นำรถไปอบโอโซนฆ่าเชื้อรา รับรองเชื้อราตาย
บทส่งท้าย ถ้าน้ำท่วมเข้าห้องโดยสารรถยนต์ เราควรจะทำยังไงดี ?
สาเหตุหลักของน้ำท่วมที่เราพบเจอกันอยู่บ่อย ๆ ก็มักจะมาจากฝนตกลงมาเเล้วเกิดน้ำขังรอการระบาย เเล้วเราก็ไม่สามารถเลี่ยงการเดินทางผ่านจุดที่น้ำท่วมขังได้เลย เมื่อเราต้องเดินทางผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมขังก็อาจจะมีโอกาสทำให้น้ำที่ท่วมนั้นซึมเข้ามาในห้องโดยสารรถยนต์ของเราได้ ดังนั้นเราควรจะตรวจเช็กสภาพรถยนต์ของเราให้มีสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เเละป้องกันให้รถของเรายังสะอาดเเละใหม่ได้เสมอ
ค้นหารถมือสอง คัดสวยๆ เกรด A++
ลองพิมพ์ คำค้นหา เช่น วีออส | ซีวิค | วีโก้ เป็นต้น