วีโก้มือสอง Toyota Vigo รถกระบะนางฟ้า คัดสวย เกรด A++ (โตโยต้า วีโก้)
เราคือดีลเลอร์จำหน่าย วีโก้มือสอง Toyota Vigo เกรดนางฟ้า ราคาถูก คัดคุณภาพ เกรด A+ ทุกคัน เรามอบบริการพิเศษ ดูแลให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกรถ และตรวจเช็คเครดิต ให้ฟรี!! ลูกค้าจะได้รับข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ยถูก ออกรถง่าย ไม่ต้องใช้เงินออกรถ เราดูแลการจัดไฟแนนซ์สินเชื่อกับธนาคาร ให้คำแนะนำการทำประกันสำหรับรถกระบะมือสอง พร้อมการดูแลหลังการขาย เป็นต้น
ซื้อ รถกระบะ วีโก้มือสอง คุณภาพเกรด A+ ต้องที่ เพชรยนต์
ไมล์ 215,xxx กม. | เกียร์ธรรมดา
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
448,330 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 256,xxx กม. | เกียร์อัตโนมัติ
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
480,430 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 78,xxx กม. | เกียร์อัตโนมัติ
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
448,330 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 170,xxx กม. | เกียร์ธรรมดา
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
480,430 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 190,xxx กม. | เกียร์อัตโนมัติ
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
497,550 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 164,xxx กม. | เกียร์ธรรมดา
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
465,450 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 188,xxx กม. | เกียร์ธรรมดา
ผ่อนเริ่มต้น 6,xxx /ด.*
405,530 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
ไมล์ 141,xxx กม. | เกียร์ธรรมดา
ผ่อนเริ่มต้น 7,xxx /ด.*
470,800 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
465,450 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
304,950 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
513,600 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
298,530 บาท (ราคารวมภาษี 7%, ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม)
ดูรายละเอียด ›
จุดเริ่มต้นของ Toyota Hilux Vigo
Toyota Hilux Vigo โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ ที่คนไทยอยู่จักกันเป็นอย่างดี แต่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าโตโยต้าวีโก้นี้อยู่คู่ตลาดรถยนต์มาอย่างยาวนานจนเข้าปีที่ 53 แล้ว โดยโตโยต้าวีโก้เริ่มผลิตและจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2011 โดยผลิตขึ้นมาจำหน่ายแทนที่รถกระบะรุ่นเก่าที่มีชื่อว่า โตโยต้า สเตาท์ Toyota Stout และเจ้าวีโก้นั่นได้ผลิตขึ้นมาทั้งหมด 8 Generation แล้วด้วยกัน
Generation 1 ถูกผลิตขึ้น และจำหน่ายในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2511 โดยใช้ชื่อว่า Toyota Hilux รหัสตัวถังคือ RN10 ตัวรถจะมีลักษณะ 2 ประตู ขนาดเครื่องยนต์ 1,490 ซีซี เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ขับเคลื่อน 2 ล้อ สำหรับโตโยต้าไฮลักซ์ในอดีตคนไทยมักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า Toyopet โตโยเป็ด
Generation 2 สำหรับโฉมนี้จะมีรหัสตัวถังเป็น RN20 ผลิตและจำหน่ายในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2515 โดยรูปลักษณ์ภายนอกยังมีความคล้ายคลึงกับรุ่น Generation 1 แต่มีการปรับปรุงให้ห้องโดยสารมีความสะดวกสบาย มีความกว้างขวางมากขึ้น สำหรับเครื่องยนต์ได้มีการปรับให้มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่ขึ้นเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1,587 ซีซี และได้มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2518 โดยได้ปรับขนาดเครื่องยนต์ให้ใหญ่กว่าเดิมเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2,189 ซีซี ปรับห้องโดยสารภายในให้ใหญ่ขึ้น สะดวกสบายมากขึ้นอีกด้วย และยังได้เริ่มมีการนำระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีดมาใช้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
Generation 3 สำหรับโฉมเจนเนอเรชั่นนี้ยังคงเป็นที่ให้ความสนใจสำหรับวงการรถยนต์คลาสสิค หรือรถยนต์โบราณเป็นอย่างมาก ในวงการรถยนต์คลาสสิคในเมืองไทยมักเรียกกันว่า “ม้ากระโดด” โฉมนี้เป็นโฉมแรกที่ทางโตโยต้าได้มีการผลิตรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และได้มีการเพิ่มเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดเข้ามาด้วย สำหรับความเดิมที่ยังคงอยู่คือ ระบบเกียร์ธรรมดา 4 สปีด ระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และโครงสร้างตัวถังกระบะ 2 ประตูเช่นเดิม โฉมนี้ได้ถูกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2522
Generation 4 ทางโตโยต้าก็ไม่รอช้า รีบเปิดตัวกระบะรุ่นใหม่ ที่นั่งใหม่ให้แฟน ๆ ได้ยลโฉมกับรถกระบะซิงเกิ้ลแคป 2 ประตู เบาะนั่งโดยสาร 2 แถวเป็นรุ่นแรกที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2527 แต่รุ่น 2 ประตู เบาะนั่งโดยสาร 1 แถวก็ยังคงมีจำหน่ายในรุ่นนี้ด้วยเหมือนกัน รูปลักษณภายนอกของรุ่นนี้ยังคงไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นเดิมเอาไว้อยู่ สำหรับรุ่นนี้จะมีจำหน่ายในปี พ.ศ. 2527 - 2531
Generation 5 หลังจากได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทางโตโยต้าก็ไม่รอช้ารีบพัฒนาต่อเพิ่มรูปลักษณ์บอดี้ให้มากขึ้น โดยเพิ่มการผลิตตัวบอดี้เป็นดับเบิ้ลแคป 4 ประตู เบาะที่นั่งโดยสาร 2 แถว และเพิ่มระบบเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดเป็น 4 สปีด สำหรับโฉมนี้ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในเรื่องของยอดขายแล้ว ยังได้รับรางวัล Truck of the Year (รถบรรทุกแห่งปี) ประจำปี พ.ศ. 2532 อีกด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ก็เข้าสู่ยุครุ่งเรืองของโตโยต้าอีกครั้ง โดยโฉมที่โด่งดังเป็นอย่างมากนี้ได้ชื่อว่า โตโยต้า ไฮลักซ์ ไมท์ตี้-เอ็กซ์ (Toyota Hilux Mighty-X) รูปลักษณ์ภายนอกจะมีลักษณธหน้าแบนยาว มีโลโก้โตโยต้าที่บริเวณกระจังหน้า เป็นกระบะแคป 2 ประตู เบาะที่นั่งโดยสาร 2 แถว กระจกมองข้างเป็นสีเดียวกับตัวรถ รูปลักษณ์ภายในจะออกแบบเป็น พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน เกียร์ธรรมดา กระจกมือหมุน มีช่องแอร์ 4 ช่องตรงบริเวณคนขับ 1 ช่อง ตรงกลางระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร 2 ช่อง และบริเวณที่นั่งผู้โดยสารอีก 1 ช่อง และมาพร้อมเครื่องเล่น CD และวิทยุ FM เรือนไมล์เป็นแบบเข็ม
Generation 6 หลังจากที่โตโยต้า ไฮลักซ์ ไมล์ตี้-เอ็กซ์ (Toyota Hilux Mighty-X) โด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในตลาดรถยนต์ จนได้เวลาเปิดตัวเจ้าโตโยต้ารุ่นใหม่ โฉมใหม่ภายใต้ชื่อ โตโยต้า ไฮลักซ์ ไทเกอร์ (Toyota Hilux Tiger) ในปี พ.ศ. 2541 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์หัวฉีด 1KZ ขนาด 5 ลิตร 3,000 ซีซี ควบคู่กับเครื่องยนต์ขนาด 2 ลิตร 2,446 ซีซี จำหน่ายไปได้ระยะหนึ่งจึงได้มีการปรับปรุงและพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์ D4D ในช่วงปลายปีเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันเราก็ยังสามารถพบเจอรถกระบะรุ่นไทเกอร์บนท้องถนนได้อยู่บ้าง เรียกได้ว่าอยู่นานยอดนิยมแบบคงกระพันจริง ๆ
Generation 7 หลังจากที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด อยู่มาอย่างยาวนานจนเข้าปีที่ 36 แล้ว ทางโตโยต้าก็ยังไม่หยุดที่จะปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนได้เปิดตัวเจ้าโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ (Toyota Hilux Vigo) อย่างเป็นทางการในประเทศไทยในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2547 หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยก็ได้ผลตอบรับดีอย่างล้นหลาม โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ จะมีจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่นหลัก ๆ ด้วยกันคือ
- รุ่นมาตรฐาน กระบะตอนเดียว
- รุ่นเอ็กซ์ตร้าแคป กระบะตอนครึ่งไม่สามารถเปิดแคปได้ และกระบะตอนครึ่งแบบที่สามารถเปิดแคปได้
- รุ่นดับเบิ้ลแคป กระบะสองตอนแบบ 4 ประตู
สำหรับประเทศไทยจะมีเครื่องยนต์จำหน่ายทั้งหมด 5 ชนิด เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 ชนิด และเครื่องยนต์เบนซิน 1 ชนิด มีรุ่นย่อยให้เลือกดังนี
- 2.5 E VN TURBO Smart-Cab 5MT Pre-Runner ราคาจำหน่าย 673,000 บาท
- 2.5 E VN TURBO Smart-Cab 5MT 4WD ราคาจำหน่าย 706,000 บาท
- 2.5 E VN TURBO Double-Cab 5MT Prerunner ราคาจำหน่าย 755,000 บาท
- 2.5 E VN TURBO Double-Cab 5MT 4WD ราคาจำหน่าย 781,000 บาท
- 2.7 J VVT-I TURBO Smart-Cab เครื่องยนต์เบนซิน + CNG ราคาจำหน่าย 622,000 บาท
จุดเด่น จุดเด่นของ Toyota Hilux Vigo
จุดเด่น Toyota Vig
- การออกแบบภายนอกค่อนข้างสวย และทันสมัย มีการดีไซน์กระจังหน้าแบบใหม่ พร้อมไฟหน้าฮาโลเจนมัลติรีเฟลกเตอร์ ที่ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น
- เสียงตอบรับจากแฟน ๆ ของ Toyota Vigo เครื่องยนต์ฟิตดี และค่อนข้างแรงถูกใจ (แต่แฟน ๆ หลายคนแอบบ่นเรื่องช่วงล่างที่ค่อนข้างสะบัด)
- พวงมาลัยเป็นแบบแรคแอนด์พีเนียนที่สามารถยุบตัวได้เมื่อเราเกิดอุบัติเหตุ หรือมีการชนปะทะที่เกิดแรงกระแทก
- โครงสร้างของตัวรถเป็นโครงสร้างแบบตัวถังนิรภัย บริเวณขอบประตูมีการดูดซับแรงกระแทกเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ พร้อมแป้นเบรกแบบสามารถยุบหดตัวได้
- การออกแบบสำหรับรุ่น Double Cab ภายในค่อนข้างกว้างขวางมากมีพื้นที่ใช้สอยค่อยข้างเยอะ มีความหรูหรามากขึ้น เบาะคู่หน้าสามารถปรับระบบไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง
- ทางโตโยต้าได้ใส่ระบบ Diamond Tech ที่จะมาช่วยควบคุมระบบฉีดจ่ายน้ำมันให้ได้ใช้พลังงานน้ำมันทุกหยดอย่างคุ้มค่า โดยควบคุมผ่านกล่องคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ 32 บิท
- ระบบความปลอดภัยระดับสูง สามารถมั่นใจได้ทุกการขับขี่ โครงสร้างและระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน โดยทางโตโยต้าได้ใส่ระบบความปลอดภัยมาตรฐานมาทั้งหมด 9 ระบบด้วยกัน
จุดด้อย Toyota Vig
- เวลาที่เราขับรถมาด้วยความเร็วสูง เวลาเข้าโค้งช่วงล่างแอบสะบัดเล็กน้อยสำหรับรถกระบะปีต่ำ ๆ (อันนี้เป็นเสียงบ่นเล็ก ๆ จากสาวกโตโยต้าวีโก้)
- เมื่อถึงฤดูน้ำหลากแล้วน้ำอาจจะท่วมถนนที่เราใช้เดินทางอยู่เป็นประจำ เมื่อเราใช้รถเดินทางฝ่าน้ำท่วมเป็นประจำและเป็นเวลานาน ระบบเบรกอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ ABS อาจจะใช้งานไม่ได้เลย หรืออาจจะใช้งานได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือเวลาเบรกอาจจะมีเสียงดังเกิดขึ้น
Generation 8 เป็นเจเนอเรชั่นสุดท้ายจนถึงปัจจุบัน ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2558 และได้จำหน่ายครั้งแรกเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ทางโตโยต้าได้จัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ใน 4 ภาค 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสงขลา โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “REVO รีโว่” นับว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ของ Toyota Hilux Vigo เลยทีเดียว ด้วยหน้าตาที่แตกต่างกันออกไปอย่างมาก และชื่อต่อท้ายรุ่นก็ยังเปลี่ยนไปอีกด้วย
รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไประหว่าง Toyota Vigo และ Toyota Revo
- รูปทรงตัวรถมีดีไซน์เหลี่ยมมากขึ้น ดูมีมิติ และสวยงามมากขึ้น
- กระจังหน้ามีขนาดความกว้างเล็กลง ดีไซน์ดูสปอร์ตมากขึ้น
- ในรุ่น Toyota Revo จะไม่มีท่อระบายอากาศเข้าสู่ไอดีแล้ว
- ล้อแม็กที่มากับตัวรถมาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่สวยงาม ดูสปอร์ตมากขึ้น
- มีสีตัวถังใหม่มาเพิ่มเติมให้ลูกค้าได้เลือกเพิ่มมากขึ้น คือ สีแดง, สีขาว, สีขาวมุก, สีดำ, สีน้ำเงิน และสีเทาดำ
โดยราคาเปิดตัว Toyota Hilux Revo ปี 2015 จะเริ่มต้นที่ 569,000-1,139,000 บาท มีให้เลือกตั้งแต่รุ่น Single Cab, Smart Cab ไปจนถึงรุ่น Double Cab
วิธีดูเเลรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี
- ต้องตรวจเช็ก และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อมีการใช้งานประมาณ 5,000 7,000 หรือ 10,000 กิโลเมตรแล้วแต่ตัวน้ำมันเครื่อง เมื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนไส้กรองด้วย
- หมั่นตรวจเช็กหม้อน้ำ เติมน้ำยาหม้อน้ำอย่างสม่ำเสมอ แล้วอย่าลืมให้ช่างตรวจเช็กวาล์วน้ำให้ด้วย ระยะการเติมหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหม้อน้ำจะอยู่ที่ประมาณ 50,000-80,000 กิโลเมตร หรือใครสะดวกกว่านั้นก็สามารถทำได้เลย
- ทุกระยะ 50,000-80,000 กิโลเมตรควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคลัทช์และน้ำมันเบรก คลัทช์และเบรกจะใช้น้ำมันถังเดียวกัน เพื่อป้องกันอุปกรณ์ลูกยางต่าง ๆ เสื่อมสภาพ
- ทำการเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่งทุกระยะ 150,000 กิโลเมตร สายพานไทม์มิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่ควรจะปล่อยให้เลยกำหนด เพราะอาจจะทำให้สายพานไทม์มิ่งขาด แล้วอาจจะกระทบไปยันลูกสูบอีกด้ว
- กรองโซล่า หรือกรองน้ำมันเชื้อเพลิง จะทำหน้าที่คอยดักจับสิ่งสกปรก หรือน้ำที่อาจจะปะปนมากับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเติม กรองโซล่าจะมีทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน และดีเซล เราควรจะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทุก ๆ 2 ปีหรือ 40,000 กิโลเมตร ถ้าเราไม่เปลี่ยนไส้กรองเลยอาจจะส่งผลให้รถยนต์ของเราสตาร์ทติดยาก หรือเครื่องยนต์อาจจะเร่งไม่ขึ้น
- แบตเตอรี่จะมีทั้งหมด 2 แบบคือแบบแห้งและแบบเปียก อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 2 - 3 ปี โดยวิธีดูแลจะแยกกันดังนี้
- แบตเตอรี่แบบแห้ง จะมีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่แบบเปียก ฉะนั้นวิธีดูแลจะไม่ยุ่งยากเท่าแบตเตอรี่แบบเปียก เราแค่หมั่นสังเกตตาแมวถ้าเป็นสีเขียว/สีฟ้า (แล้วแต่ยี่ห้อ) นั่นหมายถึงแบตเตอรี่เต็มปกติ ถ้าเป็นสีขาวแสดงว่าไฟอ่อนต้องรีบทำการชาร์จไฟแบตเตอรี่เพิ่ม
- แบตเตอรี่แบบเปียก จะมีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง และมีวิธีดูแลที่เยอะกว่าคือ แบตเตอรี่แบบเปียกควรตรวจเช็กอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และควรคอยเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในเกณฑ์เสมอ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-3 ปี
- น้ำมันเกียร์ และไส้กรองเกียร์อาจจะต้องหมั่นตรวจเช็กบ่อยเป็นพิเศษเพราะเราต้องใช้เกียร์อยู่ตลอดทำให้สึกหรอหรือเสื่อมสภาพได้ง่าย น้ำมันเกียร์ และไส้กรองเกียร์ควรจะเปลี่ยนถ่ายเมื่อระยะ 20,000-40,000 กิโลเมตร
- หัวเทียนก็เป็นอีกชิ้นส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก และควรหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอ เมื่อครบระยะ 40,000 กิโลเมตรโดยประมาณ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น และป้องกันการเสื่อมสภาพก่อนหมดอายุการใช้งาน
- ที่ปัดน้ำฝนเป็นส่วนที่โดนแดด โดนฝนมากที่สุด อาจจะทำให้ที่ปัดน้ำฝนชำรุดได้ง่าย เราควรหมั่นตรวจเช็กให้ที่ปัดน้ำฝนพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ถ้ามันชำรุดเราก็ควรเปลี่ยนอันใหม่ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
- หลอดไฟทั้งบริเวณคู่หน้า คู่ท้าย ไฟเลี้ยวทั้งหน้าและหลัง ไฟอ่านแผนที่ เราก็ต้องหมั่นตรวจเช็กให้มันสามารถใช้งานได้อยู่เสมอและมีแสงสว่างที่เพียงพอ และถ้าหากบริเวณตาไฟมีความคราบเหลืองหรือขุ่นมัวแต่อย่าลืมทำความสะอาดให้ตาไฟใสให้แสงสว่างลอดผ่านได้ 100% ด้วย