ยางรถยนต์ ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่โดยตรง มีผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่สูงมาก ถ้ายางแตกหรือระเบิดกะทันหัน เราไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป แถมยังมีอันตรายอย่างมากอีกด้วย ฉะนั้นเจ้าของรถทุกคนควรที่จะใส่ใจและหมั่นตรวจสอบยางรถยนต์เสมอ วันนี้เราจะมาพูดถึงอาการของ ยางบวม ที่หลายคนรู้ว่าอันตราย แต่จะอันตรายแค่ไหน และสาเหตุอะไรที่ทำให้เกิด ยางบวม คืออะไร
ยางรถยนต์ผลิตมาจากวัตถุดิบหลัก 6 ชนิด คืออะไรบ้าง ?
- ยางธรรมชาติ จะให้ความทนทาน
- ยางสังเคราะห์ ให้ความนุ่มนวล
- สารที่เอาไว้เพิ่มความแข็งแรงให้กับยางคือ คาร์บอนแบล็ก จะทำให้ยางมีสีดำ และซิลิกามีคุณสมบัติช่วยในการประหยัดน้ำมันและช่วยเกาะถนนบนพื้นเปียก
- เส้นใยที่เป็นโครงสร้างยาง ซึ่งเป็นตัวรับแรงดึงที่เกิดจากแรงดันลมยาง
- เส้นลวดที่ถูกเคลือบด้วยยาง ลวดตัวนี้จะให้ความแข็งแรงที่หน้ายาง
- สารเคมีอื่น ๆ เช่น กำมะถัน น้ำมันต่าง ๆ ทำหน้าที่หลอมให้ยางและโครงสร้างทั้งหมดเป็นชิ้นเดียวกัน
ยางบวม คืออะไร ?
อาการผิดปกติที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้หากยังนิ่งเฉยไม่ดูแล เพราะฉะนั้นหากยางรถยนต์ของมีอาการปูดบวมขึ้นมาอย่านิ่งนอนใจเป็นเด็ดขาด ควรเปลี่ยนยางทันที ถ้าหากยังฝืนใช้งานต่อไป รถยนต์จะสูญเสียการทรงตัว ส่ายหรือแกว่งขณะขับเคลื่อนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ บริเวณส่วนที่บวมออกมาจะเป็นส่วนที่เปราะบางของยางมากที่สุดและอาจเกิดการระเบิดได้หากยังฝืนขับต่อไป อาการปูดบวมสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณแก้มยาง และหน้ายาง แต่ส่วนมากจะเห็นการบวมขึ้นที่แก้มยางบ่อยกว่า เนื่องจากบริเวณส่วนนี้ของยางรถยนต์มีชั้นเส้นใยโลหะน้อย และมีความยืดหยุ่นสูงนั่นเอง
สาเหตุของ ยางบวม คืออะไร ?
เกิดแรงกระแทกอย่างรุนแรง เช่น ตกหลุมถนนด้วยความเร็ว หรือยางกระแทกที่ขอบทาง ทำให้โครงสร้างภายในยางบิดตัวได้รับความเสียหาย เส้นใยฉีกขาด แรงดันภายในจะโป่งออกมาเป็นอาการบวม หากยังให้รถวิ่งต่อ ความร้อนในล้อจะเพิ่มมากขึ้น แรงดันอาจดันจุดที่บวมให้แตกระเบิดได้
ยางบวม มีสาเหตุเกิดจากการที่ลมในท้องยางแทรกตัวเข้าไปในชั้นโครงยาง ดังนั้นจึงจะขออธิบายส่วนประกอบของยางเส้นหนึ่งก่อน โดยส่วนประอบหลักๆ ของยางรถยนต์เส้นหนึ่งจะมี ขอบยาง โครงยาง เข็มขัดรัดหน้ายาง และเนื้อยาง ซึ่งส่วนประกอบของขอบยาง โครงยาง และเข็มขัดรัดหน้ายาง จะมีเส้นลวดเป็นส่วนประกอบหลัก เมื่อมีการชำรุดหรือหักขึ้นมา ย่อมมีโอกาสที่ลมในท้องยางจะซึมผ่านชั้นเนื้อยาง และแทรกเข้าในช่องว่างระหว่างโครงยางกับเนื้อยาง จนทำให้ยางบวมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้โครงยางชำรุดนั้นเกิดได้จาก 2 กรณีหลักๆด้วยกัน
อย่างแรกเลยที่โครงยางเสียหายคือ เมื่อยางรถยนต์ไปกระแทกหรือถูกเบียดมา โดยส่วนมากแล้วอาการยางบวมจะเกิดที่บริเวณแก้มยาง เพราะเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดในยางเมื่อมีการเบียด หรือ ชนฟุตบาท ทำให้โครงยางด้านในหัก แล้วเกิดช่องว่างระหว่างโครงยางกับเนื้อยาง เมื่อลมที่อยู่ในท้องยางพยายามจะหาทางออก โดยจะค่อยๆ ซึมผ่านชั้นยาง ก็จะส่งผ่านให้เกิดยางบวมขึ้นมานั่นเอง และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โครงยางหัก นั้นเกิดจากการบรรทุกน้ำหนักแล้วเลือกใช้ยางไม่เหมาะสม ก็ส่งผลให้โครงยางหักบริเวณขอบยางได้เช่นกัน ซึ่งส่วนมากมักเกิดกับยางราคาประหยัดหรือไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง
ส่วนอย่างที่สองคือ เมื่อยางรถยนต์โดนตะปูตำแล้วไปทำการปะซ่อมแบบผิดวิธี จนทำให้โครงยางเสื่อมสภาพเสียหายหรือเมื่อรถยนต์เหยียบตะปูแล้วนำรถเข้าไปปะยาง ซึ่งร้านยางส่วนมากจะเป็นการปะเฉพาะภายในท้องยาง ซึ่งการปะแค่ในท้องยาง นั้นมีโอกาสส่งผลให้ความชื้นจากภายนอกเข้าสู่โครงยางจากรูรั่วด้านนอกได้ ซึ่งเมื่อความชื้นเข้าสู่โครงยางที่มีส่วนประกอบจากเหล็ก จะทำให้เส้นลวดเริ่มขึ้นสนิม ซึ่งเมื่อเส้นลวดขึ้นสนิมจะทำปฏิกริยากับเนื้อยาง ทำให้แยกตัวออกจากกันและเกิดช่องว่างขึ้น ซึ่งลมที่ซึมออกจากภายในท้องยางก็จะเข้าไปแทรกระหว่างกลางทำให้เกิดยางบวม ซึ่งจุดเสี่ยงที่สุดจากการโดนตะปูตำที่จะทำให้เกิดอาการบวมแก้ม คือบริเวณไหล่ยางเนื่องจากบริเวณไหล่ยางมีการขยับตัวบ่อยและเป็นจุดที่อ่อนไหวมากที่สุด ซึ่งอาจจะทำให้ทั้งแผ่นปะด้านในหลุดออกได้และมีช่องว่างที่เกิดจาการขยับตัวบ่อยของแก้มยาง
ถ้าหากตกหลุมแบบปกติธรรมดา ก็อย่าพึ่งกังวลจนเกินไป เพราะยางรถยนต์แต่ละแบรนด์ต่างถูกผลิตออกมาให้แข็งแรงทนทานตามมาตรฐานอยู่แล้ว
แล้วถามว่ายางบวมนั้นสามารถใช้ต่อได้ไหม แนะนำว่าไม่ควรใช้อย่างแรง เพราะเนื่องจากยางบวมสาเหตุหลักเกิดจากโครงยางที่ชำรุดซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงในการใช้งานซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อยางระเบิดได้ง่ายมากที่สุด แต่ก็มียางบางกลุ่มที่อาจจะไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่ได้แจ้งไปแต่อาจเกิดจากปัญหาการผลิตหรือว่ามาตรฐานในการผลิตครับเพราะหากการผลิตไม่ดีหรือโครงยางไม่แข็งแรงพอก็อาจจะส่งผลได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ดีขึ้นเพราะยางรถยนต์ทุกยี่ห้อที่จัดจำหน่ายในประเทศไทยนั้นต้องมี มอก. ทุกเส้นและทุกไซส์ก็ส่งผลให้ทุกคนนั้นสามารถไว้ใจได้ในระดับหนึ่งเพราะมีมาตรฐานรองรับเพิ่มขึ้นมา
โดยสรุปอาการยางบวมเป็นปัญหาที่สามารถตรวจพบได้ง่าย ส่วนใหญ่อยู่บริเวณแก้มยางด้านนอก หากดูจากอาการที่ไม่บวมมาก สามารถขับรถช้า ๆ ไปหาช่างได้ ควรเลือกเปลี่ยนยางทันทีจะเป็นยางมือสองหรือยางใหม่ หรือเปลี่ยนใหม่ยกชุดก็แล้วแต่สภาพคล่องของตัวเรา เพราะการเปลี่ยนยางใหม่ก็ถือว่ามีค่าใช้จ่ายสูงพอตัว
ในกรณีที่ยางเริ่มบวม ไม่ใหญ่มาก พอจะสามารถแก้ไขได้
ยางที่มีอาการบวมไม่ถึง 1/4 นิ้วหรือราว ๆ 0.6 ซม. สามารถซ่อมแซมได้ด้วยช่างผู้เชี่ยวชาญ และการซ่อมด้วยเข็มเจาะเพียงอย่างเดียว เชื่อถือว่ามันได้ผล และค่อนข้างที่จะอันตราย เนื่องจากหลังการรั่วจะต้องตรวจสอบด้านในของยางด้วย นอกจากนั้น อย่าซ่อมยางที่สึกหรอต่ำกว่า 2/32 นิ้ว ของความลึกดอกยาง
หากยางบวมควรรีบเปลี่ยนทันที
หากตอนนั้นมีค่าใช้จ่ายพอดี ก็แนะนำอีกวิธี คือหาร้านยางมือสองหรือยางเปอร์เซ็นต์เปลี่ยนเพียงล้อเดียวก่อนก็ได้ในราคาหลักร้อยบาท เพราะถ้าเกิดยังดื้อใช้ต่อแล้วยางระเบิด คิดว่าไม่จะคุ้มแน่กับความเสียหายถึงชีวิต
ยางบวมเคลมได้ไหม ?
- เคลมกับประกันรถยนต์ชั้น 1 แล้วแต่กรมธรรม์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระบุเรื่องอุบัติเหตุเกี่ยวกับยาง ผู้ที่แชร์ประสบการณ์จะบอกเลยว่ารับเคลม 50% ของราคายางเท่านั้น และเป็นตามจำนวนล้อที่เกิดความเสียหายขึ้นจริง ซึ่งในภาษาของประกันใช้ว่า “คุ้มครองอย่างมีเงื่อนไข”
- เคลมกับร้านจำหน่ายยาง เป็นโปรโมชั่นจากร้านจำหน่ายยางเอง ส่วนใหญ่ครอบคลุมทั้งหมดระยะสั้น ๆ ยางบวม ยางเจอตะปู ตามแต่ข้อแม้ที่ทางร้านตั้ง ส่วนใหญ่รับประกัน 1 หมื่นกิโล หรือ 6 เดือนแรกที่เปลี่ยน จงอย่าลืมเก็บใบเสร็จที่เปลี่ยนให้ดีเพราะอาจจะต้องใช้เพื่อเคลม
ยางแตกกรณีไหนประกันชั้น 1 ถึงจะเคลมได้
บริษัทประกันภัยจะเคลมยางรถได้ในกรณีที่ยางแตกหรือระเบิดที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น ขับรถตกหลุมอย่างแรง เบียดฟุตปาธ มีแรงกระแทกทำให้ยางระเบิด สาเหตุเหล่านี้จึงจะสามารถแจ้งเคลมประกันรถยนต์ประเภท 1 ได้แต่ประกันจะรับผิดชอบเพียง 50% ของราคายางเท่านั้น โดยไม่มีความเสื่อมสภาพมาเกี่ยวข้อง เพราะว่ายางรถยนต์เป็นอุปกรณ์ที่มีความเสื่อมสภาพจากการใช้งาน หากเป็นยางที่เปลี่ยนมาใหม่ เราสามารถนำหลักฐานการเปลี่ยนยางที่ระบุวันที่ชัดเจนมาเคลมค่ายางตามความเป็นจริง
ส่วนยางระเบิดที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของยางรถยนต์เองโดยไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ยางระเบิดเองขณะขับรถ หรือขับไปเหยียบตะปูแล้วยางรั่ว ซึ่งกรณีนี้ถ้าส่วนอื่นตัวรถเสียหายด้วย บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถเท่านั้น แต่ยางรถจะเคลมประกันไม่ได้
เมื่อรู้แล้วว่ายางรถระเบิดในกรณีไหนถึงจะสามารถเคลมประกันได้ เราก็ควรป้องกันก่อนเกิดเหตุด้วยการเช็คสภาพล้อรถก่อนออกเดินทาง นอกจากนั้นควรหมั่นตรวจเช็คสภาพยางรถเป็นประจำเพื่อช่วยยืดอายุยางรถยนต์ไปในตัวด้วย
4 วิธีการดูแลยางรถยนต์เพื่อยืดอายุการใช้งาน
- เติมลมยางให้เหมาะกับรถที่ใช้อยู่
ควรเติมลมยางรถยนต์ให้เหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด ให้ครบทั้งสี่ล้อโดยที่แรงดัน และลมยางมีปริมาณที่เท่ากัน เพราะหากเติมปริมาณลมยางไม่เท่ากันจะทำให้การสึกหรอของยางไม่เท่ากันทั้งหมด และถ้าลมยางอ่อนไปหรือแข็งไป ก็จะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นเพราะยางมีความฝืดสูงกว่าปกติ - ตรวจเช็คลมยาง
หมั่นตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมอด้วยเกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง เพราะการเช็คและเติมลมยางให้เหมาะสมก็จะช่วยยืดอายุยางรถและทำให้เราปลอดภัยจากอุบัติอีกด้วยนอกจากนั้นควรเติมลมยางขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ เพราะหากตรวจตอนใช้รถไปแล้วหรือตรวจขณะยางรถยังมีความร้อน จะทำให้ค่าความดันภายในยางสูงขึ้นและไม่ได้ค่าที่ใช้วัดตามมาตรฐาน
ความดันลมยางตามมาตรฐานสำหรับรถเก๋งและรถกระบะ
รถเก๋ง ความดันสูงสุด ไม่ควรเกิน 36 ปอนด์ / ตารางนิ้ว ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของรถด้วย
- รถเก๋งขนาดเล็ก ความดันลมยาง ประมาณ 25 – 30 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
- รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่ ความดันลมยาง ประมาณ 30 – 35 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
- รถกระบะ ความดันลมยาง ไม่ควรเกิน 65 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
- ใช้ยางรถยนต์ให้ถูกประเภท
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่ควรเลือกยางรถยนต์ที่เหมาะสมกับประเภทการใช้งาน และควรเลือกใช้ยางที่มียี่ห้อและรุ่นเดียวกันทั้งชุด นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ในการวิ่งด้วย เช่น วิ่งในเมืองหรือต่างจังหวัด ก็เลือกยางที่เหมาะกับสภาพที่ต้องใช้วิ่งประจำก็จะช่วยยืดอายุของยางมากขึ้น แถมยังปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของเราอีกด้วย - ตรวจสภาพของดอกยางสม่ำเสมอ
ควรสังเกตการสึกหรอที่ผิดปกติตลอดหน้ายางอยู่เสมอ เช่น หากหน้ายางสึกเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งแสดงว่าศูนย์ล้อผิดปกติ แต่หากยางสึกไม่เรียบเสมอกันตลอดหน้ายางอาจเกิดจากระบบช่วงล่าง เมื่อเห็นถึงความผิดปกติดังกล่าวแล้วต้องรีบเปลี่ยนอย่างโดยด่วนเพราะจะมีผลต่อการทรงตัวของรถซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
บทส่งท้าย ยางบวม ทำยังไงดี ?
ยางรถยนต์ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรองรับน้ำหนักตัวรถ เเละขับเคลื่อนรถยนต์ ฉะนั้นเราควรหมั่นตรวจเช็กคุณภาพของยางรถยนต์เราให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน เเละมีลมยางอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเสมอ เเละเราไม่ควรใช้งานยางเกินอายุการใช้งานที่ถูกจำกัดไว้ เพราะอาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อเรา ต่อรถยนต์ของเราได้นะคะ